จาไฮ (Jahai), โอรังอัสลี (Orang Asli)
โอรังอัสลี (Orang Asli) ถือเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่คาบสมุทรมลายู คำว่า “โอรังอัสลี” ในภาษามลายูแปลว่า “คนดั้งเดิม” (โอรัง แปลว่า คน และ อัสลี แปลว่า ดั้งเดิม) ถือเป็นคำเรียกที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศมาเลเซียคำนี้เป็นคำเรียกโดยรวมกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองทุกกลุ่ม ทั้งนี้มีชื่อเฉพาะเรียกกลุ่มโอรังอัสลีผู้พูดภาษาออสโตรเอเชียติก ที่มีถิ่นที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาสกันว่า “จาไฮ” (the Jahai) ในขณะที่กลุ่มซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดตรัง พัทลุง สงขลา และสตูล จะเรียกกันว่า “มานิ” หรือ “มันนิ” (the Maniq) ทั้งสองกลุ่มนี้ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนในของแผ่นดิน (inland) บริเวณเทือกเขาสันกาลาคีรีและเทือกเขาบรรทัด ดำรงชีวิตมาอย่างยาวนานในป่าเขาทางภาคใต้ของประเทศไทย (นฤมล ขุนวีช่วย, 2568: ออนไลน์)
สังคมไทยคุ้นเคยเรียกชาติพันธุ์กลุ่มนี้ว่า “เงาะป่า” หรือ “ซาไก” มีความทรงจำและบันทึกเรื่องราวของพวกเขา โดยเฉพาะผ่าน “คนัง” มหาดเล็กในรัชกาลที่ 5 ที่ทรงรับเลี้ยงมาจากทางภาคใต้ เรื่องราวของเขากลายเป็นบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ เด็กชายผิวคล้ำดำ หัวหยิกขด ไม่แต่งตัวใส่เสื้อผ้า เป็นคนป่าอยู่ห่างไกลผู้กินอยู่ไม่เข้าใจขนบเมืองกรุง ต่างรูปต่างภาษาซึ่งผู้คนในเมืองไม่เคยพบเห็น (กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, 2567: ออนไลน์; โรม บุญนาค, 2568: ออนไลน์) คนังจึงประหนึ่งคนที่ทั้งเข้าไปและออกมาจากวรรณคดีเรื่อง “เงาะป่า” พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 ซึ่งกลายเป็นภาพจำของชาติพันธุ์กลุ่มนี้มาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้สังคมไทยพอคุ้นเคยเรื่องราวของชาติพันธุ์กลุ่มนี้ผ่านนิทานพื้นบ้านต่างๆ เช่น “เจ้าเงาะ” ในเรื่องสังข์ทอง ตัวเอกผู้มีท่าทางตลกขบขัน ถูกมองว่าบ้าใบ้ไม่รู้ความและชอบดอกไม้สีแดง อย่างไรก็ตามบางภาพจำเป็นมายาคติและเหมารวม จากการขาดความเข้าใจและการเห็นใจความแตกต่างของกลุ่มคนอื่น อีกทั้งย่างก้าวของชาติพันธุ์กลุ่มนี้ในปัจจุบันหลายๆ ด้านแตกต่างจากภาพจำเหล่านั้น จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่กำลังรอให้เกิดการเรียนรู้ เข้าใจอัตลักษณ์และการเปลี่ยนแปลงของพวกเขา บนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้การเรียก “เงาะ” หรือ “ซาไก” ปัจจุบันนี้ในแง่วิชาการไม่นิยมเรียกกันเช่นนี้แล้ว เนื่องจากมีความเห็นว่าสร้างการรับรู้ในแง่ลบ สื่อถึงการเป็นทาสหรือการล้อเลียนตลกขบขัน และพวกเขาเองไม่ได้นิยามตัวเองเช่นนั้น นักวิชาการรุ่นอาณานิคมเรียกชาวโอรังอัสลีหลายๆ กลุ่มว่าชาวนิกริโต (Negrito) ในขณะที่ชาวมาเลย์เรียกชื่อพวกเขารวมๆ ว่า “เซมัง” (the Semang) ในกลุ่มเหล่านี้นอกจากจะมีชาวจาไฮอยู่ด้วยแล้ว ยังมีกลุ่มชนอื่น เช่น Bateq, Kensiu, Kintak, Lanoh, Mendriq (Porath, 2010: 267 อ้างถึงใน บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2564: 58-59) ทั้งนี้คำเรียกต่างๆ มักเป็นสิ่งที่ผู้อื่นตั้งให้พวกเขา
กลุ่มจาไฮใช้ชีวิตส่วนใหญ่แบบย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ มีการข้ามแดนไปมาตามผืนป่าระหว่างชายแดนไทยและมาเลเซีย ซึ่งมีระบบนิเวศเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อน (tropical rain forest) พื้นที่ดังกล่าวปัจจุบันคืออุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส และอุทยานแห่งชาติเบอลุม ประเทศมาเลเซีย ป่าดังกล่าวถือเป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง (บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2564: 53, 75)
วิถีดั้งเดิมของพวกเขาคือ “กินอยู่กับธรรมชาติ” ขุดหาอาหารจำพวกเผือกและมันชนิดต่างๆ และล่าสัตว์ขนาดเล็ก ชีวิตในป่าไม่ได้ตั้งถิ่นฐานถาวร ได้ย้ายถิ่นฐานตามสัตว์และพืชผลในป่าไปเรื่อยๆ ตามความอุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศระหว่างผืนป่าไทยและมาเลเซีย ชีวิตของพวกเขาอิงตามนาฬิกาธรรมชาติ วันเวลากิจวัตรต่างๆ เป็นไปตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือฤดูกาลที่หมุนเวียนไป อาศัยองค์ความรู้ที่สั่งสมกันมาและการชี้แนะจากผู้อาวุโสซึ่งถือเป็นปราชญ์ในเผ่า เป็นองค์ความรู้อย่างหนึ่งเพื่อเอาชีวิตรอด เพื่อพิจารณาว่าสิ่งไหน กินได้ กินไม่ได้ ประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นเอง เช่น ลูกดอกยาพิษไว้ล่าสัตว์ ไปจนถึงงานหัตถกรรมที่มีความสวยงาม ซึ่งน้อยคนจะเคยพบเห็น เช่น หวีไม้ไผ่ที่เหล่าหญิงสาวใช้ พวกเขารู้ว่าพืชชนิดใดเป็นสมุนไพร สามารถรักษาด้วยยาที่หาได้ในผืนป่า จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่า ไม่จำเป็นต้องออกมาข้างนอกโดยเฉพาะในหมู่สตรีและเด็ก ในขณะที่ผู้ชาย นานครั้งจะออกจากป่าเพื่อมาแลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวจะถือเป็นช่วงทำงานของเหล่าชายหนุ่ม พวกเขาจะลงมาจาก “ฮายะอ์” เพิงที่พักในป่าเขา มาเป็นลูกจ้างแรงงานแลกข้าวสาร อาหารแห้ง หรือยาสูบ โดยจะนำกลับไปแจกจ่ายเท่าๆ กันให้สมาชิก ตามคติสำคัญของพวกเขาที่ทุกอย่างที่หามาได้ ต้องแบ่งให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม