ภาษา | ออสโตรเอเชียติก |
ถิ่นอาศัย | คาบสมุทรมลายู ในประเทศไทยพบตั้งถิ่นฐานลึกเข้าไปบริเวณตอนในของแผ่นดิน (Inland) บริเวณเทือกเขาสันกาลาคีรีของทางภาคใต้ |
โอรังอัสลี (Orang Asli) ถือเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่คาบสมุทรมลายู คำว่า “โอรังอัสลี” ในภาษามลายูแปลว่า “คนดั้งเดิม” (โอรัง แปลว่า คน และ อัสลี แปลว่า ดั้งเดิม) ถือเป็นคำเรียกที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศมาเลเซียคำนี้เป็นคำเรียกโดยรวมกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองทุกกลุ่ม ทั้งนี้มีชื่อเฉพาะเรียกกลุ่มโอรังอัสลีผู้พูดภาษาออสโตรเอเชียติก ที่มีถิ่นที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาสกันว่า “จาไฮ” (the Jahai) ในขณะที่กลุ่มซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดตรัง พัทลุง สงขลา และสตูล จะเรียกกันว่า “มานิ” หรือ “มันนิ” (the Maniq) ทั้งสองกลุ่มนี้ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนในของแผ่นดิน (inland) บริเวณเทือกเขาสันกาลาคีรีและเทือกเขาบรรทัด ดำรงชีวิตมาอย่างยาวนานในป่าเขาทางภาคใต้ของประเทศไทย (นฤมล ขุนวีช่วย, 2568: ออนไลน์)
สังคมไทยคุ้นเคยเรียกชาติพันธุ์กลุ่มนี้ว่า “เงาะป่า” หรือ “ซาไก” มีความทรงจำและบันทึกเรื่องราวของพวกเขา โดยเฉพาะผ่าน “คนัง” มหาดเล็กในรัชกาลที่ 5 ที่ทรงรับเลี้ยงมาจากทางภาคใต้ เรื่องราวของเขากลายเป็นบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ เด็กชายผิวคล้ำดำ หัวหยิกขด ไม่แต่งตัวใส่เสื้อผ้า เป็นคนป่าอยู่ห่างไกลผู้กินอยู่ไม่เข้าใจขนบเมืองกรุง ต่างรูปต่างภาษาซึ่งผู้คนในเมืองไม่เคยพบเห็น (กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, 2567: ออนไลน์; โรม บุญนาค, 2568: ออนไลน์) คนังจึงประหนึ่งคนที่ทั้งเข้าไปและออกมาจากวรรณคดีเรื่อง “เงาะป่า” พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 ซึ่งกลายเป็นภาพจำของชาติพันธุ์กลุ่มนี้มาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้สังคมไทยพอคุ้นเคยเรื่องราวของชาติพันธุ์กลุ่มนี้ผ่านนิทานพื้นบ้านต่างๆ เช่น “เจ้าเงาะ” ในเรื่องสังข์ทอง ตัวเอกผู้มีท่าทางตลกขบขัน ถูกมองว่าบ้าใบ้ไม่รู้ความและชอบดอกไม้สีแดง อย่างไรก็ตามบางภาพจำเป็นมายาคติและเหมารวม จากการขาดความเข้าใจและการเห็นใจความแตกต่างของกลุ่มคนอื่น อีกทั้งย่างก้าวของชาติพันธุ์กลุ่มนี้ในปัจจุบันหลายๆ ด้านแตกต่างจากภาพจำเหล่านั้น จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่กำลังรอให้เกิดการเรียนรู้ เข้าใจอัตลักษณ์และการเปลี่ยนแปลงของพวกเขา บนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้การเรียก “เงาะ” หรือ “ซาไก” ปัจจุบันนี้ในแง่วิชาการไม่นิยมเรียกกันเช่นนี้แล้ว เนื่องจากมีความเห็นว่าสร้างการรับรู้ในแง่ลบ สื่อถึงการเป็นทาสหรือการล้อเลียนตลกขบขัน และพวกเขาเองไม่ได้นิยามตัวเองเช่นนั้น นักวิชาการรุ่นอาณานิคมเรียกชาวโอรังอัสลีหลายๆ กลุ่มว่าชาวนิกริโต (Negrito) ในขณะที่ชาวมาเลย์เรียกชื่อพวกเขารวมๆ ว่า “เซมัง” (the Semang) ในกลุ่มเหล่านี้นอกจากจะมีชาวจาไฮอยู่ด้วยแล้ว ยังมีกลุ่มชนอื่น เช่น Bateq, Kensiu, Kintak, Lanoh, Mendriq (Porath, 2010: 267 อ้างถึงใน บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2564: 58-59) ทั้งนี้คำเรียกต่างๆ มักเป็นสิ่งที่ผู้อื่นตั้งให้พวกเขา
กลุ่มจาไฮใช้ชีวิตส่วนใหญ่แบบย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ มีการข้ามแดนไปมาตามผืนป่าระหว่างชายแดนไทยและมาเลเซีย ซึ่งมีระบบนิเวศเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อน (tropical rain forest) พื้นที่ดังกล่าวปัจจุบันคืออุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส และอุทยานแห่งชาติเบอลุม ประเทศมาเลเซีย ป่าดังกล่าวถือเป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง (บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2564: 53, 75)
วิถีดั้งเดิมของพวกเขาคือ “กินอยู่กับธรรมชาติ” ขุดหาอาหารจำพวกเผือกและมันชนิดต่างๆ และล่าสัตว์ขนาดเล็ก ชีวิตในป่าไม่ได้ตั้งถิ่นฐานถาวร ได้ย้ายถิ่นฐานตามสัตว์และพืชผลในป่าไปเรื่อยๆ ตามความอุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศระหว่างผืนป่าไทยและมาเลเซีย ชีวิตของพวกเขาอิงตามนาฬิกาธรรมชาติ วันเวลากิจวัตรต่างๆ เป็นไปตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือฤดูกาลที่หมุนเวียนไป อาศัยองค์ความรู้ที่สั่งสมกันมาและการชี้แนะจากผู้อาวุโสซึ่งถือเป็นปราชญ์ในเผ่า เป็นองค์ความรู้อย่างหนึ่งเพื่อเอาชีวิตรอด เพื่อพิจารณาว่าสิ่งไหน กินได้ กินไม่ได้ ประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นเอง เช่น ลูกดอกยาพิษไว้ล่าสัตว์ ไปจนถึงงานหัตถกรรมที่มีความสวยงาม ซึ่งน้อยคนจะเคยพบเห็น เช่น หวีไม้ไผ่ที่เหล่าหญิงสาวใช้ พวกเขารู้ว่าพืชชนิดใดเป็นสมุนไพร สามารถรักษาด้วยยาที่หาได้ในผืนป่า จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่า ไม่จำเป็นต้องออกมาข้างนอกโดยเฉพาะในหมู่สตรีและเด็ก ในขณะที่ผู้ชาย นานครั้งจะออกจากป่าเพื่อมาแลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวจะถือเป็นช่วงทำงานของเหล่าชายหนุ่ม พวกเขาจะลงมาจาก “ฮายะอ์” เพิงที่พักในป่าเขา มาเป็นลูกจ้างแรงงานแลกข้าวสาร อาหารแห้ง หรือยาสูบ โดยจะนำกลับไปแจกจ่ายเท่าๆ กันให้สมาชิก ตามคติสำคัญของพวกเขาที่ทุกอย่างที่หามาได้ ต้องแบ่งให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม
จาไฮอาศัยอยู่ในผืนป่าโดยอยู่รวมเป็นกลุ่ม (commune) ในลักษณะเครือญาติ พวกเขามีแนวคิดที่ว่าอาหารทุกอย่างที่หามาได้ต้องแบ่งให้ทุกคนในเผ่า ซึ่งแนวคิดดังกล่าวช่วยให้ทุกคนในเผ่ามีโอกาสรอดมากขึ้น ชาวจาไฮไม่มีภาษาเขียนแต่มีศิลปะลวดลาย อยู่ในอาวุธและของขวัญ (gift) ที่ผู้ชายทำให้แก่ภรรยา ในอดีตเครื่องมือล่าสัตว์ส่วนใหญ่ทำจากไม้ไผ่ เรียกว่า “เบอเลา” “บอเลา” หรือ “บลาว” ทำมาจากไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง ยาวประมาณ 2.5 เมตร ใส่ลูกดอกอาบยาพิษเรียกว่า “บีลา” ยาพิษเป็นยางไม้ที่เรียกกันว่า “อีโป๊ะ” หรือที่คนไทยเรียก “ยางน่อง” เครื่องมีเหล่านี้ต้องฝึกจนชำนาญและต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก โดยจะยิงเฉพาะบริเวณหัวของสัตว์ เนื้อในส่วนร่างกายเก็บไว้เป็นอาหาร (บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2564: 53, 87)
วิถีชีวิตของจาไฮนั้นสัมพันธ์กับผืนป่าเป็นอย่างมาก ทรัพยากรจากผืนป่าถือเป็นยารักษาเมื่อยามเจ็บไข้ และเป็นสินค้าที่นำไปใช้แลกเปลี่ยนตั้งแต่อดีต พวกเขามีความรู้ด้านสมุนไพรและสัตว์ป่าซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาสำคัญที่ช่วยให้สามารถดำรงชีวิตในป่ามาอย่างยาวนาน ชาวบ้านรอบผืนป่ารับรู้ถึงสรรพคุณยารักษาของจาไฮ และเชื่อว่าสามารถรักษาโรคภัยต่างๆ ได้ โดยเฉพาะสมุนไพรบำรุงสำหรับเพศชาย ถือเป็นที่เลื่องลือในหมู่คนพื้นที่ราบ (เพิ่งอ้าง, 2562: 85)
ในด้านการแต่งกายกลุ่มหญิงสาวจาไฮแม้ปัจจุบันนิยมแต่งกายตามสมัยมากขึ้น แต่มักจะคาดหวีไม้ไผ่ที่ผมไว้เสมอ หวีเหล่านี้เป็นหวีที่ชายหนุ่มมักนำมามอบให้กับหญิงสาว สลักลวดลายเรขาคณิตที่ซ้ำกันจนเป็นลวดลายสวยงาม พวกเขามักสลักลวดลายเหล่านี้ไว้บนสิ่งของเครื่องใช้ที่ทำจากไม้ไผ่ เช่น กระบอกไม้ไผ่บรรจุลูกดอก (เพิ่งอ้าง, 2562: 114)
จาไฮมีการนับถือผู้มีอำนาจศักดิ์สิทธิสูงสุดคนเดียวกัน เป็นทั้งพระเจ้า ศาสดา และบรรพบุรุษผู้เป็นต้นกำเนิดของพวกเขา เรียกว่า "อลึจ" (Aluj) โดยจะขอให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ล่าสัตว์ได้โดยง่าย และขอให้ช่วยรักษาให้เมื่อเจ็บไข้ ควบคู่กับการกินยาสมุนไพรและวิธีการรักษาที่ผู้อาวุโสเยียวยา มีการท่องเวทย์มนต์คาถาต่างๆ ทำให้เกิดสิ่งที่ดีและทำให้เกิดสิ่งให้ร้ายได้ (บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2562: 70, 73)
พวกเขามีความเชื่อเรื่องโลกคนเป็นกับโลกคนตาย สมาชิกในกลุ่มที่เสียชีวิตจะเดินทางไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ในการจัดการเกี่ยวกับผู้ตายจะใช้เสื่อห่อหุ้มศพวางไว้ในป่า และสมาชิกที่เหลือจะต้องย้ายถิ่นไปอยู่ที่อื่น หากไม่อย่างนั้นผู้ตายจะคอยติดตามคนในกลุ่มไม่เดินทางไปสู่โลกคนตาย ปัจจุบันมีตำแหน่งในป่าที่ตั้งเป็นสุสานของกลุ่ม เมื่อมีใครตายก็จะแบกศพไปฝังไว้ที่นั้น และมักหลีกเลี่ยงเดินทางไปบริเวณนั้น (เพิ่งอ้าง, 2562: 71)
โอรังอัสลี (Orang Asli) ถือเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่คาบสมุทรมลายู คำว่า “โอรังอัสลี” ในภาษามลายูแปลว่า “คนดั้งเดิม” (โอรัง แปลว่า คน และ อัสลี แปลว่า ดั้งเดิม) ถือเป็นคำเรียกที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศมาเลเซียคำนี้เป็นคำเรียกโดยรวมกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองทุกกลุ่ม ทั้งนี้มีชื่อเฉพาะเรียกกลุ่มโอรังอัสลีผู้พูดภาษาออสโตรเอเชียติก ที่มีถิ่นที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาสกันว่า “จาไฮ” (the Jahai) ในขณะที่กลุ่มซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดตรัง พัทลุง สงขลา และสตูล จะเรียกกันว่า “มานิ” หรือ “มันนิ” (the Maniq) ทั้งสองกลุ่มนี้ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนในของแผ่นดิน (inland) บริเวณเทือกเขาสันกาลาคีรีและเทือกเขาบรรทัด ดำรงชีวิตมาอย่างยาวนานในป่าเขาทางภาคใต้ของประเทศไทย (นฤมล ขุนวีช่วย, 2568: ออนไลน์)
สังคมไทยคุ้นเคยเรียกชาติพันธุ์กลุ่มนี้ว่า “เงาะป่า” หรือ “ซาไก” มีความทรงจำและบันทึกเรื่องราวของพวกเขา โดยเฉพาะผ่าน “คนัง” มหาดเล็กในรัชกาลที่ 5 ที่ทรงรับเลี้ยงมาจากทางภาคใต้ เรื่องราวของเขากลายเป็นบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ เด็กชายผิวคล้ำดำ หัวหยิกขด ไม่แต่งตัวใส่เสื้อผ้า เป็นคนป่าอยู่ห่างไกลผู้กินอยู่ไม่เข้าใจขนบเมืองกรุง ต่างรูปต่างภาษาซึ่งผู้คนในเมืองไม่เคยพบเห็น (กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, 2567: ออนไลน์; โรม บุญนาค, 2568: ออนไลน์) คนังจึงประหนึ่งคนที่ทั้งเข้าไปและออกมาจากวรรณคดีเรื่อง “เงาะป่า” พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 ซึ่งกลายเป็นภาพจำของชาติพันธุ์กลุ่มนี้มาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้สังคมไทยพอคุ้นเคยเรื่องราวของชาติพันธุ์กลุ่มนี้ผ่านนิทานพื้นบ้านต่างๆ เช่น “เจ้าเงาะ” ในเรื่องสังข์ทอง ตัวเอกผู้มีท่าทางตลกขบขัน ถูกมองว่าบ้าใบ้ไม่รู้ความและชอบดอกไม้สีแดง อย่างไรก็ตามบางภาพจำเป็นมายาคติและเหมารวม จากการขาดความเข้าใจและการเห็นใจความแตกต่างของกลุ่มคนอื่น อีกทั้งย่างก้าวของชาติพันธุ์กลุ่มนี้ในปัจจุบันหลายๆ ด้านแตกต่างจากภาพจำเหล่านั้น จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่กำลังรอให้เกิดการเรียนรู้ เข้าใจอัตลักษณ์และการเปลี่ยนแปลงของพวกเขา บนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้การเรียก “เงาะ” หรือ “ซาไก” ปัจจุบันนี้ในแง่วิชาการไม่นิยมเรียกกันเช่นนี้แล้ว เนื่องจากมีความเห็นว่าสร้างการรับรู้ในแง่ลบ สื่อถึงการเป็นทาสหรือการล้อเลียนตลกขบขัน และพวกเขาเองไม่ได้นิยามตัวเองเช่นนั้น นักวิชาการรุ่นอาณานิคมเรียกชาวโอรังอัสลีหลายๆ กลุ่มว่าชาวนิกริโต (Negrito) ในขณะที่ชาวมาเลย์เรียกชื่อพวกเขารวมๆ ว่า “เซมัง” (the Semang) ในกลุ่มเหล่านี้นอกจากจะมีชาวจาไฮอยู่ด้วยแล้ว ยังมีกลุ่มชนอื่น เช่น Bateq, Kensiu, Kintak, Lanoh, Mendriq (Porath, 2010: 267 อ้างถึงใน บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2564: 58-59) ทั้งนี้คำเรียกต่างๆ มักเป็นสิ่งที่ผู้อื่นตั้งให้พวกเขา
กลุ่มจาไฮใช้ชีวิตส่วนใหญ่แบบย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ มีการข้ามแดนไปมาตามผืนป่าระหว่างชายแดนไทยและมาเลเซีย ซึ่งมีระบบนิเวศเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อน (tropical rain forest) พื้นที่ดังกล่าวปัจจุบันคืออุทยานแห่งชาติบางลางและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส และอุทยานแห่งชาติเบอลุม ประเทศมาเลเซีย ป่าดังกล่าวถือเป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง (บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2564: 53, 75)
วิถีดั้งเดิมของพวกเขาคือ “กินอยู่กับธรรมชาติ” ขุดหาอาหารจำพวกเผือกและมันชนิดต่างๆ และล่าสัตว์ขนาดเล็ก ชีวิตในป่าไม่ได้ตั้งถิ่นฐานถาวร ได้ย้ายถิ่นฐานตามสัตว์และพืชผลในป่าไปเรื่อยๆ ตามความอุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศระหว่างผืนป่าไทยและมาเลเซีย ชีวิตของพวกเขาอิงตามนาฬิกาธรรมชาติ วันเวลากิจวัตรต่างๆ เป็นไปตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือฤดูกาลที่หมุนเวียนไป อาศัยองค์ความรู้ที่สั่งสมกันมาและการชี้แนะจากผู้อาวุโสซึ่งถือเป็นปราชญ์ในเผ่า เป็นองค์ความรู้อย่างหนึ่งเพื่อเอาชีวิตรอด เพื่อพิจารณาว่าสิ่งไหน กินได้ กินไม่ได้ ประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นเอง เช่น ลูกดอกยาพิษไว้ล่าสัตว์ ไปจนถึงงานหัตถกรรมที่มีความสวยงาม ซึ่งน้อยคนจะเคยพบเห็น เช่น หวีไม้ไผ่ที่เหล่าหญิงสาวใช้ พวกเขารู้ว่าพืชชนิดใดเป็นสมุนไพร สามารถรักษาด้วยยาที่หาได้ในผืนป่า จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่า ไม่จำเป็นต้องออกมาข้างนอกโดยเฉพาะในหมู่สตรีและเด็ก ในขณะที่ผู้ชาย นานครั้งจะออกจากป่าเพื่อมาแลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวจะถือเป็นช่วงทำงานของเหล่าชายหนุ่ม พวกเขาจะลงมาจาก “ฮายะอ์” เพิงที่พักในป่าเขา มาเป็นลูกจ้างแรงงานแลกข้าวสาร อาหารแห้ง หรือยาสูบ โดยจะนำกลับไปแจกจ่ายเท่าๆ กันให้สมาชิก ตามคติสำคัญของพวกเขาที่ทุกอย่างที่หามาได้ ต้องแบ่งให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม
จาไฮอาศัยอยู่ในผืนป่าโดยอยู่รวมเป็นกลุ่ม (commune) ในลักษณะเครือญาติ พวกเขามีแนวคิดที่ว่าอาหารทุกอย่างที่หามาได้ต้องแบ่งให้ทุกคนในเผ่า ซึ่งแนวคิดดังกล่าวช่วยให้ทุกคนในเผ่ามีโอกาสรอดมากขึ้น ชาวจาไฮไม่มีภาษาเขียนแต่มีศิลปะลวดลาย อยู่ในอาวุธและของขวัญ (gift) ที่ผู้ชายทำให้แก่ภรรยา ในอดีตเครื่องมือล่าสัตว์ส่วนใหญ่ทำจากไม้ไผ่ เรียกว่า “เบอเลา” “บอเลา” หรือ “บลาว” ทำมาจากไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง ยาวประมาณ 2.5 เมตร ใส่ลูกดอกอาบยาพิษเรียกว่า “บีลา” ยาพิษเป็นยางไม้ที่เรียกกันว่า “อีโป๊ะ” หรือที่คนไทยเรียก “ยางน่อง” เครื่องมีเหล่านี้ต้องฝึกจนชำนาญและต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก โดยจะยิงเฉพาะบริเวณหัวของสัตว์ เนื้อในส่วนร่างกายเก็บไว้เป็นอาหาร (บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2564: 53, 87)
วิถีชีวิตของจาไฮนั้นสัมพันธ์กับผืนป่าเป็นอย่างมาก ทรัพยากรจากผืนป่าถือเป็นยารักษาเมื่อยามเจ็บไข้ และเป็นสินค้าที่นำไปใช้แลกเปลี่ยนตั้งแต่อดีต พวกเขามีความรู้ด้านสมุนไพรและสัตว์ป่าซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาสำคัญที่ช่วยให้สามารถดำรงชีวิตในป่ามาอย่างยาวนาน ชาวบ้านรอบผืนป่ารับรู้ถึงสรรพคุณยารักษาของจาไฮ และเชื่อว่าสามารถรักษาโรคภัยต่างๆ ได้ โดยเฉพาะสมุนไพรบำรุงสำหรับเพศชาย ถือเป็นที่เลื่องลือในหมู่คนพื้นที่ราบ (เพิ่งอ้าง, 2562: 85)
ในด้านการแต่งกายกลุ่มหญิงสาวจาไฮแม้ปัจจุบันนิยมแต่งกายตามสมัยมากขึ้น แต่มักจะคาดหวีไม้ไผ่ที่ผมไว้เสมอ หวีเหล่านี้เป็นหวีที่ชายหนุ่มมักนำมามอบให้กับหญิงสาว สลักลวดลายเรขาคณิตที่ซ้ำกันจนเป็นลวดลายสวยงาม พวกเขามักสลักลวดลายเหล่านี้ไว้บนสิ่งของเครื่องใช้ที่ทำจากไม้ไผ่ เช่น กระบอกไม้ไผ่บรรจุลูกดอก (เพิ่งอ้าง, 2562: 114)
จาไฮมีการนับถือผู้มีอำนาจศักดิ์สิทธิสูงสุดคนเดียวกัน เป็นทั้งพระเจ้า ศาสดา และบรรพบุรุษผู้เป็นต้นกำเนิดของพวกเขา เรียกว่า "อลึจ" (Aluj) โดยจะขอให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ล่าสัตว์ได้โดยง่าย และขอให้ช่วยรักษาให้เมื่อเจ็บไข้ ควบคู่กับการกินยาสมุนไพรและวิธีการรักษาที่ผู้อาวุโสเยียวยา มีการท่องเวทย์มนต์คาถาต่างๆ ทำให้เกิดสิ่งที่ดีและทำให้เกิดสิ่งให้ร้ายได้ (บัณฑิต ไกลวิจิตร, 2562: 70, 73)
พวกเขามีความเชื่อเรื่องโลกคนเป็นกับโลกคนตาย สมาชิกในกลุ่มที่เสียชีวิตจะเดินทางไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ในการจัดการเกี่ยวกับผู้ตายจะใช้เสื่อห่อหุ้มศพวางไว้ในป่า และสมาชิกที่เหลือจะต้องย้ายถิ่นไปอยู่ที่อื่น หากไม่อย่างนั้นผู้ตายจะคอยติดตามคนในกลุ่มไม่เดินทางไปสู่โลกคนตาย ปัจจุบันมีตำแหน่งในป่าที่ตั้งเป็นสุสานของกลุ่ม เมื่อมีใครตายก็จะแบกศพไปฝังไว้ที่นั้น และมักหลีกเลี่ยงเดินทางไปบริเวณนั้น (เพิ่งอ้าง, 2562: 71)