ผู้เขียน | ปริวรรต ธรรมาปรีชากร |
ชื่อวิทยานิพนธ์ | พัฒนาการของเครื่องถ้วยเขมรสมัยเมืองพระนคร |
มหาวิทยาลัย | ศิลปากร |
คณะ | โบราณคดี |
สาขาวิชา | โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ |
ระดับการศึกษา | ปริญญาเอก |
ปี | 2552 (2009) |
จำนวนหน้า | 345 |
ภาษา | ภาษาไทย |
ที่มา | ลิงก์ที่มา |
1. บทนำ
2. วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
3. วิธีดำเนินการศึกษากับเครื่องถ้อวยเขมร
4. ผลการวิเคราะห์เครื่องถ้วยเขมรสมัยเมืองพระนคร
5. สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ
1. บทนำ
2. วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
3. วิธีดำเนินการศึกษากับเครื่องถ้อวยเขมร
4. ผลการวิเคราะห์เครื่องถ้วยเขมรสมัยเมืองพระนคร
5. สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแตกต่างของพัฒนาการเครื่องถ้วยเขมรสมัยเมืองพระนครระหว่างกลุ่มเตาพนมกุเลนในราชอาณาจักรกัมพูชาและกลุ่มเตาพนมดงเร็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของราชอาณาจักรไทย ทั้งวิธีผลิต วิธีจัดวาง รูปแบบของเตา รูปทรง ความสัมพันธ์กับเครื่องถ้วยต้นแบบประโยชน์ใช้สอย ตลอดจนความเชื่อและคติศาสนาที่แฝงอยู่ในเครื่องถ้วยเหล่านั้น เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยผลการขุดค้นทางโบราณคดีของนักโบราณคดีชาวกัมพูชาและชาวญี่ปุ่นที่กลุ่มเตาพนมกุเลนระหว่าง พ.ศ. 2539-2550 และของนักโบราณคดีชาวไทยที่กลุ่มเตาพนมดงเร็ก ระหว่าง พ.ศ. 2527-2530 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องถ้วยจีนต้นแบบและเครื่องถ้วยเขมร แม้จะปรากฎหลักฐานทางเอกสารที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการทูตและทางการค้าระหว่างอาณาจักรกัมพูชากับราชวงศ์ซ่งไม่มากนัก ผลการขุดค้นทางโบราณคดีของนายเบอร์นาร์ด โกรส์ลิเยร์ ที่เมืองพระนคร เมื่อ พ.ศ. 2518 ได้ค้นพบเครื่องถ้วยจีนหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นเครื่องถ้วยจีนที่เป็นบรรณาการระหว่างพุทธศตวรรษที่ 15-18 เช่น เครื่องถ้วยที่ผลิตจากกลุ่มเตาฉวี่หยาง กลุ่มเตาอี้ยวโจว และกลุ่มเตาเจี้ยนหยาง รวมทั้งผลการบูรณะโบราณสถานในราชอาณาจักรไทย ก็มักค้นพบเครื่องถ้วยจีนที่เป็นสินค้าออกระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-18 เช่น เครื่องถ้วยที่ผลิตจากกลุ่มเตาจิ่งเต๋อเจิ้น กลุ่มเตาเต๋อฮั่ว กลุ่มเตาฉือเส้า และกลุ่มเตาฉีสือ ผลการศึกษาพบว่า ทั้งวิธีผลิต วิธีจัดวาง และรูปทรงของผลิตภัณฑ์ทั้งสองกลุ่มเตามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับแรงบันดาลใจจากแหล่งผลิตคนละแหล่งกัน แต่อาจมีช่วงเวลาการผลิตร่วมสมัยกันระยะหนึ่งคือ ราวกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 กลุ่มเตาพนมกุเลนมีรูปทรงคล้ายคลึงกับเครื่องถ้วยจีนปลายสมัยห้าราชวงศ์ถึงต้นสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ราวต้นถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งสอดคล้องกับค่าอายุของถ่านไม้ คือ ราวต้นถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ขณะที่กลุ่มเตาพนมดงเร็กมีรูปทรงคล้ายคลึงกับเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือและสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งสอดคล้องกับค่าอายุของเตาโคกลิ้นฟ้าและเตานายเจียนที่ได้จากถ่านไม้ คือ ราวพุทธศตวรรษที่ 16-18 โถรูปสัตว์มักพบร่องรอยของปูนบรรจุอยู่จะสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการเคี้ยวหมากที่แพร่หลายในขณะนั้น รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของเทือกเขาพนมดงเร็กที่มีสัตว์ป่าชุกชุม และทะเลสาบกัมพูชาที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์นานาชนิด ส่วนแมวเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่นิยมเลี้ยง เนื่องจากมักแขวนลูกกระพรวนที่คอ ดังนั้นโถรูปสัตว์เหล่านี้จึงมิได้รับแรงบันดาลใจจากคติความเชื่อและศาสนาแต่อย่างใด เพียงแต่รูปสัตว์บางชนิดบังเอิญเป็นสัตว์มีความหมายทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์-ฮินดูด้วย