ผู้ผลิต | ประวัติศาสตร์นอกตำรา |
เรื่องย่อ |
[ประวัติศาสตร์นอกตำรา] อนุราธปุระ เมืองหลวงเก่าทางตอนเหนือของศรีลังกา ที่นี่ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในลังกาทวีปที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 236-276
มหินตเล หรือมิสสกบรรพต เป็นสถานที่ในคัมภีร์บาลีระบุว่า คณะสมณทูตที่นำโดยพระมหินทเถระ พระโอรสของพระเจ้าอโศก พร้อมด้วยพระเถระอีก 4 รูป เดินทางจากอินเดียเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในศรีลังกาเป็นครั้งแรก
เมื่อพระพุทธศาสนาประดิษฐานลงในลังกาแล้ว พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะได้ทรงสร้าง “อารามมหาวิหาร” ขึ้นกลางกรุงอนุราธปุระ กลายเป็นชื่อเรียกของกลุ่มสงฆ์ที่เรียกว่า “คณะมหาวิหาร” โดยมีพระเจดีย์ถูปาราม เป็นพระเจดีย์องค์แรกที่เกิดขึ้นในลังกา
ลังกาเข้าสู่ยุคสําคัญอีกยุคในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา หลังพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 439 ไม่นานพวกทมิฬก็ชิงอํานาจได้ และเข้าครอบครองอนุราธปุระอยู่นานถึง 14 ปี ระหว่างนี้ประเทศเกิดยุคเข็ญถึงกับต้องกินเนื้อมนุษย์ พระมหาเถระทั้งหลายเกรงศาสนาจะสูญไปจึงตกลงประชุมกันเพื่อทำการสังคายนาพระธรรมวินัยขึ้นที่ถ้ำอาโลกเลณสถาน ในมลยชนบท โดยมีพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยเป็นองค์อุปถัมป์ โดยมีการจดจารจารึกพระพุทธวจนะเป็นลายลักษณ์อักษรลงบนใบลานเป็นครั้งแรก หลังที่ก่อนหน้านี้ใช้วิธีสืบต่อกันด้วยวิธีท่องจำมาเป็นเวลานานกว่า 400 ปี นับแต่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน
ในรัชสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย พระองค์ทรงสร้างวัดถวายแด่พระมหาติสสเถระผู้ช่วยเหลือพระองค์ในคราวรบกับทมิฬ ซึ่งได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของคณะสงฆ์ใหม่ที่เรียกว่า “อภัยคีรีวิหาร” นอกเหนือจากฝ่ายมหาวิหารเดิม และคือจุดเริ่มต้นของความแตกแยกกับฝ่ายมหาวิหาร เพราะฝ่ายมหาวิหารเป็นผู้ยึดมั่นในคําสอนและแบบแผนประเพณี รวมทั้งตั้งข้อรังเกียจภิกษุต่างนิกายว่าเป็น อลัชชี
ขณะที่ฝ่ายอภัยคีรีวิหาร ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีความคิดเห็นเป็นอิสระ ต้อนรับทัศนะใหม่ ๆ ศึกษาทั้งเรื่องฝ่ายเถรวาทและมหายาน คณะอภัยคิรีวิหารจึงได้กลายเป็นศูนย์กลางสําคัญแห่งหนึ่งของมหายานในศรีลังกา
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ถึง 17 เป็นยุคที่ลังกาตกอยู่ในความวุ่นวาย เพราะการรุกรานจากทิมฬในอินเดียบ้าง และความไม่สงบภายในบ้าง ในระหว่างยุคนี้เองที่ภิกษุณีสงฆ์สูญสิ้น รวมทั้งคณะพระภิกษุสงฆ์เองก็เริ่มเสื่อมลง แต่พุทธศาสนาในลังกายังคงเดินต่อไปได้
ความเสื่อมของพุทธศาสนาครั้งใหญ่ได้อุบัติขึ้นเมื่อโปรตุเกสได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งในศรีลังกาเมื่อ พ.ศ. 2048 กระทั่งที่สุดสามารถยึดครองศรีลังกาได้ ส่งผลให้พระพุทธศาสนาได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ในสมัยพระเจ้าวิมลธรรมสุริยะที่ 1 ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2137 – 2147 ซึ่งขณะนั้นศูนย์กลางอำนาจของลังกาได้มาอยู่ที่ “กรุงศิริวัฒนบุรี” หรือเมืองแคนดีในปัจจุบัน พระองค์ทรงมีพระราชดําริที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้น เนื่องจากเวลานั้นทั่วทั้งเกาะลังกาไม่มีพระภิกษุหลงเหลืออยู่เลย พระองค์ทรงส่งราชทูตไปยังพม่า เพื่อขอคณะสงฆ์จํานวน 10 รูป มาประกอบพิธีอุปสมบทที่ศรีลังกาในปีพ.ศ.2140 แต่เมื่อโปรตุเกสได้ยกทัพเข้าบุกแคนดี พระองค์ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในป่า ทําให้แคนดีตกเป็นของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2154 และเป็นเหตุให้พุทธศาสนาต้องเสื่อมโทรมลงอีกครั้ง
กระทั่งถึงสมัยพระราชสิงห์ที่ 2 ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2178 – 2230 พระองค์ทรงขอความช่วยเหลือจากฮอลันดาให้ช่วยขับไล่โปรตุเกสออกจากเกาะลังกา จนในที่สุดฐานทัพของโปรตุเกสที่โคลัมโบก็ถูกตีแตกใน พ.ศ. 2199 ในสมัยพระเจ้าวิมลธรรมสุริยะที่ 2 (พ.ศ. 2230 – 2250) พระองค์ทรงมีพระประสงค์ จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอีกครั้ง แต่ขณะนั้นในศรีลังกามีพระภิกษุสงฆ์ที่จะประกอบพิธีอุปสมบทไม่ถึง 5 รูป พระองค์จึงได้ส่งราชทูตคณะที่ 2 ไปนิมนต์คณะสงฆ์พม่ามาช่วยอุปสมบทอีกครั้งใน พ.ศ. 2240 แต่ หลังจากคณะสงฆ์พม่าได้ก่อตั้งศาสนวงศ์ได้ไม่นาน พระพุทธศาสนาในศรีลังกาก็เริ่มเสื่อมลงอีก กระทั่งคณะสงฆ์เกือบสิ้นสมณวงศ์ เหลือแต่สามเณรเพียงรูปเดียว นามว่า “สรณังกร”
พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2290 – 2325 พระองค์ทรงตระหนักถึงความเสื่อมของพระพุทธศาสนา จึงส่งราชทูตไปยังกรุงศรีอยุธยา เพื่อขอพระภิกษุสงฆ์มาช่วยอุปสมบทฟื้นฟูศาสนาให้แก่กุลบุตรชาวสิงหล ในปี พ.ศ. 2293
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงเลือกพระอุบาลีมหาเถระ พร้อมด้วยพระสงฆ์รวมทั้งหมด 24 รูป ออกเดินทางด้วยเรือกำปั่นจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปยังลังกา โดยคณะสมณฑูตจากกรุงศรีอยุธยาจำพรรษาที่วัดบุปผาราม หรือวัดมัลวัตตะ พิธีการอุปสมบทคราวนั้นมีพระอุบาลีมหาเถระเป็นประธานในการอุปสมบทสามเณรจำนวน 6 รูป รวมถึงสามเณรสรณังกรณัง ที่มีอายุประมาณ 40 พรรษาได้ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ ซึ่งต่อมาภิกษุสรณังกรณังยังได้รับตําแหน่งเป็นพระสังฆราช ในนิกายสยามวงศ์เป็นองค์แรกลังกา
ในช่วงเวลาราว 3 ปี ในศรีลังกา พระอุบาลีเถระ และคณะได้บรรพชา และอุปสมบทให้แก่ชาวศรีลังกา เป็นพระภิกษุกว่า 700 รูป และสามเณรอีกกว่า 3,000 รูป ต่อมาในปี พ.ศ. 2298 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ยังทรงโปรดเกล้า ฯ ส่งคณะสมณทูตชุดที่ 2 จำนวน 60 รูป เดินทางไปยังลังกาเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาสยามวงศ์ให้มั่นคงขึ้นอีก พระอุบาลีมหาเถระ อาพาธและมรณภาพลงในปีพุทธศักราช 2299 เพียง 4 ปี หลังจากเดินทางมายังลังกา จบสิ้นภาระกิจในการช่วยสืบพระพุทธศาสนาระหว่างสองแผ่นดินลง
แม้ในอดีตแผ่นดินสยามจะรับเอาพระพุทธศาสนาจากลังกาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จนกลายเป็น “ลังกาวงศ์” แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะจากสยามก็ได้ถูกนำกลับคืนไปเพาะปลูกให้เป็นต้นกล้าใหม่ที่เฟื่องฟูในลังกาเรียกว่า “สยามวงศ์” น่าดีใจที่ชาวศรีลังกาในวันนี้ยังคงช่วยกันรดน้ำพรวนดิน และค้ำจุนให้ต้นกล้าทางพุทธศาสนาเติบโตหยั่งรากลึกจนมั่นคงแข็งแรงมาได้ จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน |
ความยาว | 31:23 นาที |
คำสำคัญ/ป้ายกำกับ | พระพุทธศาสนา ศรีลังกา ลังกาวงศ์ สยามวงศ์ อนุราธปุระ |
[ประวัติศาสตร์นอกตำรา] อนุราธปุระ เมืองหลวงเก่าทางตอนเหนือของศรีลังกา ที่นี่ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในลังกาทวีปที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 236-276
มหินตเล หรือมิสสกบรรพต เป็นสถานที่ในคัมภีร์บาลีระบุว่า คณะสมณทูตที่นำโดยพระมหินทเถระ พระโอรสของพระเจ้าอโศก พร้อมด้วยพระเถระอีก 4 รูป เดินทางจากอินเดียเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในศรีลังกาเป็นครั้งแรก
เมื่อพระพุทธศาสนาประดิษฐานลงในลังกาแล้ว พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะได้ทรงสร้าง “อารามมหาวิหาร” ขึ้นกลางกรุงอนุราธปุระ กลายเป็นชื่อเรียกของกลุ่มสงฆ์ที่เรียกว่า “คณะมหาวิหาร” โดยมีพระเจดีย์ถูปาราม เป็นพระเจดีย์องค์แรกที่เกิดขึ้นในลังกา
ลังกาเข้าสู่ยุคสําคัญอีกยุคในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา หลังพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 439 ไม่นานพวกทมิฬก็ชิงอํานาจได้ และเข้าครอบครองอนุราธปุระอยู่นานถึง 14 ปี ระหว่างนี้ประเทศเกิดยุคเข็ญถึงกับต้องกินเนื้อมนุษย์ พระมหาเถระทั้งหลายเกรงศาสนาจะสูญไปจึงตกลงประชุมกันเพื่อทำการสังคายนาพระธรรมวินัยขึ้นที่ถ้ำอาโลกเลณสถาน ในมลยชนบท โดยมีพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยเป็นองค์อุปถัมป์ โดยมีการจดจารจารึกพระพุทธวจนะเป็นลายลักษณ์อักษรลงบนใบลานเป็นครั้งแรก หลังที่ก่อนหน้านี้ใช้วิธีสืบต่อกันด้วยวิธีท่องจำมาเป็นเวลานานกว่า 400 ปี นับแต่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน
ในรัชสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย พระองค์ทรงสร้างวัดถวายแด่พระมหาติสสเถระผู้ช่วยเหลือพระองค์ในคราวรบกับทมิฬ ซึ่งได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของคณะสงฆ์ใหม่ที่เรียกว่า “อภัยคีรีวิหาร” นอกเหนือจากฝ่ายมหาวิหารเดิม และคือจุดเริ่มต้นของความแตกแยกกับฝ่ายมหาวิหาร เพราะฝ่ายมหาวิหารเป็นผู้ยึดมั่นในคําสอนและแบบแผนประเพณี รวมทั้งตั้งข้อรังเกียจภิกษุต่างนิกายว่าเป็น อลัชชี
ขณะที่ฝ่ายอภัยคีรีวิหาร ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีความคิดเห็นเป็นอิสระ ต้อนรับทัศนะใหม่ ๆ ศึกษาทั้งเรื่องฝ่ายเถรวาทและมหายาน คณะอภัยคิรีวิหารจึงได้กลายเป็นศูนย์กลางสําคัญแห่งหนึ่งของมหายานในศรีลังกา
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ถึง 17 เป็นยุคที่ลังกาตกอยู่ในความวุ่นวาย เพราะการรุกรานจากทิมฬในอินเดียบ้าง และความไม่สงบภายในบ้าง ในระหว่างยุคนี้เองที่ภิกษุณีสงฆ์สูญสิ้น รวมทั้งคณะพระภิกษุสงฆ์เองก็เริ่มเสื่อมลง แต่พุทธศาสนาในลังกายังคงเดินต่อไปได้
ความเสื่อมของพุทธศาสนาครั้งใหญ่ได้อุบัติขึ้นเมื่อโปรตุเกสได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งในศรีลังกาเมื่อ พ.ศ. 2048 กระทั่งที่สุดสามารถยึดครองศรีลังกาได้ ส่งผลให้พระพุทธศาสนาได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ในสมัยพระเจ้าวิมลธรรมสุริยะที่ 1 ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2137 – 2147 ซึ่งขณะนั้นศูนย์กลางอำนาจของลังกาได้มาอยู่ที่ “กรุงศิริวัฒนบุรี” หรือเมืองแคนดีในปัจจุบัน พระองค์ทรงมีพระราชดําริที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้น เนื่องจากเวลานั้นทั่วทั้งเกาะลังกาไม่มีพระภิกษุหลงเหลืออยู่เลย พระองค์ทรงส่งราชทูตไปยังพม่า เพื่อขอคณะสงฆ์จํานวน 10 รูป มาประกอบพิธีอุปสมบทที่ศรีลังกาในปีพ.ศ.2140 แต่เมื่อโปรตุเกสได้ยกทัพเข้าบุกแคนดี พระองค์ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในป่า ทําให้แคนดีตกเป็นของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2154 และเป็นเหตุให้พุทธศาสนาต้องเสื่อมโทรมลงอีกครั้ง
กระทั่งถึงสมัยพระราชสิงห์ที่ 2 ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2178 – 2230 พระองค์ทรงขอความช่วยเหลือจากฮอลันดาให้ช่วยขับไล่โปรตุเกสออกจากเกาะลังกา จนในที่สุดฐานทัพของโปรตุเกสที่โคลัมโบก็ถูกตีแตกใน พ.ศ. 2199 ในสมัยพระเจ้าวิมลธรรมสุริยะที่ 2 (พ.ศ. 2230 – 2250) พระองค์ทรงมีพระประสงค์ จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอีกครั้ง แต่ขณะนั้นในศรีลังกามีพระภิกษุสงฆ์ที่จะประกอบพิธีอุปสมบทไม่ถึง 5 รูป พระองค์จึงได้ส่งราชทูตคณะที่ 2 ไปนิมนต์คณะสงฆ์พม่ามาช่วยอุปสมบทอีกครั้งใน พ.ศ. 2240 แต่ หลังจากคณะสงฆ์พม่าได้ก่อตั้งศาสนวงศ์ได้ไม่นาน พระพุทธศาสนาในศรีลังกาก็เริ่มเสื่อมลงอีก กระทั่งคณะสงฆ์เกือบสิ้นสมณวงศ์ เหลือแต่สามเณรเพียงรูปเดียว นามว่า “สรณังกร”
พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2290 – 2325 พระองค์ทรงตระหนักถึงความเสื่อมของพระพุทธศาสนา จึงส่งราชทูตไปยังกรุงศรีอยุธยา เพื่อขอพระภิกษุสงฆ์มาช่วยอุปสมบทฟื้นฟูศาสนาให้แก่กุลบุตรชาวสิงหล ในปี พ.ศ. 2293
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงเลือกพระอุบาลีมหาเถระ พร้อมด้วยพระสงฆ์รวมทั้งหมด 24 รูป ออกเดินทางด้วยเรือกำปั่นจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปยังลังกา โดยคณะสมณฑูตจากกรุงศรีอยุธยาจำพรรษาที่วัดบุปผาราม หรือวัดมัลวัตตะ พิธีการอุปสมบทคราวนั้นมีพระอุบาลีมหาเถระเป็นประธานในการอุปสมบทสามเณรจำนวน 6 รูป รวมถึงสามเณรสรณังกรณัง ที่มีอายุประมาณ 40 พรรษาได้ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ ซึ่งต่อมาภิกษุสรณังกรณังยังได้รับตําแหน่งเป็นพระสังฆราช ในนิกายสยามวงศ์เป็นองค์แรกลังกา
ในช่วงเวลาราว 3 ปี ในศรีลังกา พระอุบาลีเถระ และคณะได้บรรพชา และอุปสมบทให้แก่ชาวศรีลังกา เป็นพระภิกษุกว่า 700 รูป และสามเณรอีกกว่า 3,000 รูป ต่อมาในปี พ.ศ. 2298 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ยังทรงโปรดเกล้า ฯ ส่งคณะสมณทูตชุดที่ 2 จำนวน 60 รูป เดินทางไปยังลังกาเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาสยามวงศ์ให้มั่นคงขึ้นอีก พระอุบาลีมหาเถระ อาพาธและมรณภาพลงในปีพุทธศักราช 2299 เพียง 4 ปี หลังจากเดินทางมายังลังกา จบสิ้นภาระกิจในการช่วยสืบพระพุทธศาสนาระหว่างสองแผ่นดินลง
แม้ในอดีตแผ่นดินสยามจะรับเอาพระพุทธศาสนาจากลังกาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จนกลายเป็น “ลังกาวงศ์” แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะจากสยามก็ได้ถูกนำกลับคืนไปเพาะปลูกให้เป็นต้นกล้าใหม่ที่เฟื่องฟูในลังกาเรียกว่า “สยามวงศ์” น่าดีใจที่ชาวศรีลังกาในวันนี้ยังคงช่วยกันรดน้ำพรวนดิน และค้ำจุนให้ต้นกล้าทางพุทธศาสนาเติบโตหยั่งรากลึกจนมั่นคงแข็งแรงมาได้ จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน