หน้าแรก บทความ กลองมโหระทึก เครื่องใช้สำริดรุ่นแรกในนครศรีธรรมราช

กลองมโหระทึก เครื่องใช้สำริดรุ่นแรกในนครศรีธรรมราช

กลองมโหระทึก เครื่องใช้สำริดรุ่นแรกในนครศรีธรรมราช

ชื่อผู้แต่ง ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์
วารสาร/นิตยสาร สารนครศรีธรรมราช
ปี 2554
หน้าที่ 26-28
ภาษา ไทย

เนื้อหาโดยย่อ

อนึ่ง ล่วงถึงขณะนี้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเจ้าของ วัฒนธรรมต่องซอนเป็นใคร นักโบราณคดีบางท่านเห็น ว่า เป็นพวกอินโดนีเซีย หรือพวกมาเลย์รุ่นหลัง (Deutero-Malay) บางท่านเห็นว่าน่าจะเป็นพวก โลเหยอะ (LoYueh) แต่ที่เห็นตรงกันคือ คนใน วัฒนธรรมนี้เป็นพวกกสิกรรม ทำนา เลี้ยงควายและหมู มีบ้านเสาสูง หลังคาบ้านเป็นรูปอานม้า คือ มีอกไก่ โค้งลงเล็กน้อย เป็นนักเดินเรือ ใช้เรือขุดลำยาวๆ แล่นออกทะเลไกล เมื่อตายฝังศพไว้ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ศพนอนหงายเหยียดตรง ญาติจะฝังเครื่องมือเครื่อง ใช้สำริดลงไปให้

แต่ตามความเห็นของบาทหลวงปริ้นสตัน เอส.ซู เห็นว่า “กลองมโหระทึกที่เก่าที่สุดมีแหล่งกำเนิดใน บริเวณภาคกลางของจีนตอนใต้ในปัจจุบันซึ่งเมื่อราว ๕๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล เคยเป็นที่อยู่ของชาวเผ่าเอี้ย (มิใช่ชาวจีน) ดินแดนดังกล่าวเดิมเรียกว่า “หลิงหนัน" ซึ่งรวมระหว่างมณฑลกวางตุ้ง-กวางสี ในปัจจุบัน ชาวหลิงหนันมีวัฒนธรรมที่เจริญเป็นของตนเอง บาง สมัยก็เข้มแข็ง สามารถตั้งเป็นอาณาจักรอิสระ แต่บาง สมัยก็ถูกจีนเข้ายึดครอง"

เป็นที่น่าสังเกตว่ากลองมโหระทึกดังกล่าวมีพบ ทุกภาคของประเทศไทย เฉพาะในภาคใต้ นอกจาก พบที่นครศรีธรรมราชแล้ว ยังพบที่อื่นๆ อีกเช่นที่อำเภอ พุนพิน อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ อำเภอเมืองจังหวัดชุมพร บริเวณที่พบกลองนี้มักอยู่ใกล้ เส้นทางน้ำ และอยู่ในบริเวณชุมชนแรกเริ่มประวัติ ศาสตร์แทบทั้งสิ้น นักโบราณคดีจึงสรุปว่า กลอง มโหระทึกเป็นหลักฐานการอพยพ และการติดต่อทาง ทะเล หรือลำน้ำของคนในชุมชนโบราณในแถบเอเชีย อาคเนย์

อย่างไรก็ดี แม้กลองมโหระทึกจะมิได้ผลิตขึ้น ด้วยภูมิปัญญาและเทคนิควิธีการผลิตสำริดของชาว ภาคใต้หรือชาวนครศรีธรรมราชแต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ดินแดนสุวรรณภูมิ และคาบสมุทรไทยเป็นเส้นทาง ผ่านของวัฒนธรรมอินเดียและจีนอย่างต่อเนื่องตลอดมา

คำสำคัญ/ป้ายกำกับ

กลองมโหรทึก ยุคสำริด นครศรีธรรมราช

ยุคสมัย

ก่อนประวัติศาสตร์

จำนวนผู้เข้าชม

11

วันที่เผยแพร่ข้อมูล

18 ก.พ. 2568

กลองมโหระทึก เครื่องใช้สำริดรุ่นแรกในนครศรีธรรมราช

  • กลองมโหระทึก เครื่องใช้สำริดรุ่นแรกในนครศรีธรรมราช
  • blog-img
    ชื่อผู้แต่ง :
    ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์

    ชื่อบทความ :
    กลองมโหระทึก เครื่องใช้สำริดรุ่นแรกในนครศรีธรรมราช

    วารสาร/นิตยสาร
    วารสาร/นิตยสาร :
    สารนครศรีธรรมราช

    ปี :
    2554

    หน้าที่ :
    26-28

    ภาษา :
    ไทย

    เนื้อหาโดยย่อ

    อนึ่ง ล่วงถึงขณะนี้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเจ้าของ วัฒนธรรมต่องซอนเป็นใคร นักโบราณคดีบางท่านเห็น ว่า เป็นพวกอินโดนีเซีย หรือพวกมาเลย์รุ่นหลัง (Deutero-Malay) บางท่านเห็นว่าน่าจะเป็นพวก โลเหยอะ (LoYueh) แต่ที่เห็นตรงกันคือ คนใน วัฒนธรรมนี้เป็นพวกกสิกรรม ทำนา เลี้ยงควายและหมู มีบ้านเสาสูง หลังคาบ้านเป็นรูปอานม้า คือ มีอกไก่ โค้งลงเล็กน้อย เป็นนักเดินเรือ ใช้เรือขุดลำยาวๆ แล่นออกทะเลไกล เมื่อตายฝังศพไว้ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ศพนอนหงายเหยียดตรง ญาติจะฝังเครื่องมือเครื่อง ใช้สำริดลงไปให้

    แต่ตามความเห็นของบาทหลวงปริ้นสตัน เอส.ซู เห็นว่า “กลองมโหระทึกที่เก่าที่สุดมีแหล่งกำเนิดใน บริเวณภาคกลางของจีนตอนใต้ในปัจจุบันซึ่งเมื่อราว ๕๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล เคยเป็นที่อยู่ของชาวเผ่าเอี้ย (มิใช่ชาวจีน) ดินแดนดังกล่าวเดิมเรียกว่า “หลิงหนัน" ซึ่งรวมระหว่างมณฑลกวางตุ้ง-กวางสี ในปัจจุบัน ชาวหลิงหนันมีวัฒนธรรมที่เจริญเป็นของตนเอง บาง สมัยก็เข้มแข็ง สามารถตั้งเป็นอาณาจักรอิสระ แต่บาง สมัยก็ถูกจีนเข้ายึดครอง"

    เป็นที่น่าสังเกตว่ากลองมโหระทึกดังกล่าวมีพบ ทุกภาคของประเทศไทย เฉพาะในภาคใต้ นอกจาก พบที่นครศรีธรรมราชแล้ว ยังพบที่อื่นๆ อีกเช่นที่อำเภอ พุนพิน อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ อำเภอเมืองจังหวัดชุมพร บริเวณที่พบกลองนี้มักอยู่ใกล้ เส้นทางน้ำ และอยู่ในบริเวณชุมชนแรกเริ่มประวัติ ศาสตร์แทบทั้งสิ้น นักโบราณคดีจึงสรุปว่า กลอง มโหระทึกเป็นหลักฐานการอพยพ และการติดต่อทาง ทะเล หรือลำน้ำของคนในชุมชนโบราณในแถบเอเชีย อาคเนย์

    อย่างไรก็ดี แม้กลองมโหระทึกจะมิได้ผลิตขึ้น ด้วยภูมิปัญญาและเทคนิควิธีการผลิตสำริดของชาว ภาคใต้หรือชาวนครศรีธรรมราชแต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ดินแดนสุวรรณภูมิ และคาบสมุทรไทยเป็นเส้นทาง ผ่านของวัฒนธรรมอินเดียและจีนอย่างต่อเนื่องตลอดมา

    หลักฐานสำคัญ

    ห้องสมุดแนะนำ :

    ลิงก์ที่มา :

    ดาวน์โหลดบทความ :

    ยุคสมัย
    ก่อนประวัติศาสตร์

    คำสำคัญ/ป้ายกำกับ
    กลองมโหรทึก ยุคสำริด นครศรีธรรมราช

    วันที่เผยแพร่ข้อมูล : 18 ก.พ. 2568
    จำนวนผู้เข้าชม : 11