ชื่อผู้แต่ง | ปรียานุช จุมพรม |
วารสาร/นิตยสาร | ดำรงวิชาการ |
เดือน | กรกฎาคม-ธันวาคม |
ปี | 2549 |
ปีที่ | 5 |
ฉบับที่ | 2 |
หน้าที่ | 115-132 |
ภาษา | ไทย |
ในการสำรวจชุมชนโบราณบริเวณรอบเขาพนมรุ้งพบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีของชุมชนโบราณจำนวน 46 แห่ง ในระยะรัศมี 10 กิโลเมตรรอบเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอาจสรุปพัฒนาการทางวัฒนธรรมของชุมชนโบราณได้ว่า มีการเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ราว 2,000-1,500 ปีมาแล้ว ลงมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้นร่วมสมัยทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 15 เมื่ออิทธิพลวัฒนธรรมเขมรสมัยเมืองพระนครได้แพร่กระจายเข้ามา จึงมีการเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณนี้มากขึ้น และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ อิทธิพลวัฒนธรรมเขมรที่แพร่กระจายเข้ามานั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมละวัฒนธรรมหลายๆ ด้าน เช่น รูปแบบการตั้งถิ่นฐานและการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างศาสนสถานที่เรียกว่าปราสาทขึ้นในชุมชนต่างๆ และบนเข้าพนมรุ้ง ซึ่งในเวลานั้นศาสนสถานบนเข้าพนมรุ้งซึ่งเป็นเทวสถานเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย คงจะเป็นศุนย์กลางทางศาสนาของชุมชนที่อยู่โดยรอบ และเป็นมาอย่างต่อเนื่องจนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ต่อมาเมื่ออาณาจักรเขมรเริ่มเสื่อมอำนาจลง บทบาทของเขาพนมรุ้งในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาของชุมชนคงจะค่อยๆ ลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้างไปในที่สุด ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ยังได้พบหลักฐานที่แสดงว่าชุมชนโบราณบางแห่ง เช่น ชุมชนโบราณบ้านกระต่ายตาย ชุมชนโบราณบ้านโคกกะลอ และชุมชนโบราณบ้านโคกเบง ในเขตอำเภอประโคนชัย คงจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับศาสนสถานบนเขาพนมรุ้งด้วย หลักฐานดังกล่าวคือ หลักหิน ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นหลักหิน ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นหลักหินที่ใช้ปักหลักเขตในการกัลปนาที่ดินที่มอบให้แก่เทพเจ้าแห่งเขาพนมรุ้ง ซึ่งจารึกพบที่ปราสาทพนมรุ้งหลายหลักได้กล่าวถึงไว้ นอกจากนี้ การค้นพบหลักฐานประเภทเครื่องถ้วยเขมร ซึ่งพบอยู่ในชุมชนโบราณทุกแห่งที่ได้ทำการสำรวจครั้งนี้ แสดงว่ามีการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนทั้งที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกันและอยู่ห่างไกล
ในการสำรวจชุมชนโบราณบริเวณรอบเขาพนมรุ้งพบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีของชุมชนโบราณจำนวน 46 แห่ง ในระยะรัศมี 10 กิโลเมตรรอบเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอาจสรุปพัฒนาการทางวัฒนธรรมของชุมชนโบราณได้ว่า มีการเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ราว 2,000-1,500 ปีมาแล้ว ลงมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้นร่วมสมัยทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 15 เมื่ออิทธิพลวัฒนธรรมเขมรสมัยเมืองพระนครได้แพร่กระจายเข้ามา จึงมีการเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณนี้มากขึ้น และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ อิทธิพลวัฒนธรรมเขมรที่แพร่กระจายเข้ามานั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมละวัฒนธรรมหลายๆ ด้าน เช่น รูปแบบการตั้งถิ่นฐานและการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างศาสนสถานที่เรียกว่าปราสาทขึ้นในชุมชนต่างๆ และบนเข้าพนมรุ้ง ซึ่งในเวลานั้นศาสนสถานบนเข้าพนมรุ้งซึ่งเป็นเทวสถานเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย คงจะเป็นศุนย์กลางทางศาสนาของชุมชนที่อยู่โดยรอบ และเป็นมาอย่างต่อเนื่องจนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ต่อมาเมื่ออาณาจักรเขมรเริ่มเสื่อมอำนาจลง บทบาทของเขาพนมรุ้งในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาของชุมชนคงจะค่อยๆ ลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้างไปในที่สุด ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ยังได้พบหลักฐานที่แสดงว่าชุมชนโบราณบางแห่ง เช่น ชุมชนโบราณบ้านกระต่ายตาย ชุมชนโบราณบ้านโคกกะลอ และชุมชนโบราณบ้านโคกเบง ในเขตอำเภอประโคนชัย คงจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับศาสนสถานบนเขาพนมรุ้งด้วย หลักฐานดังกล่าวคือ หลักหิน ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นหลักหิน ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นหลักหินที่ใช้ปักหลักเขตในการกัลปนาที่ดินที่มอบให้แก่เทพเจ้าแห่งเขาพนมรุ้ง ซึ่งจารึกพบที่ปราสาทพนมรุ้งหลายหลักได้กล่าวถึงไว้ นอกจากนี้ การค้นพบหลักฐานประเภทเครื่องถ้วยเขมร ซึ่งพบอยู่ในชุมชนโบราณทุกแห่งที่ได้ทำการสำรวจครั้งนี้ แสดงว่ามีการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนทั้งที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกันและอยู่ห่างไกล