ชื่อผู้แต่ง | ประพิณ ทักษิณ |
วารสาร/นิตยสาร | วารสารวิชาการ ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ |
เดือน | มกราคม-เมษายน |
ปี | 2558 |
ปีที่ | 8 |
ฉบับที่ | 1 |
หน้าที่ | 887-902 |
ภาษา | ภาษาไทย |
การขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองโบราณดอนคา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการทางวัฒนธรรมของเมืองดอนคาและศึกษาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างเมืองโบราณดอนคากับชุมชนโบราณร่วมสมัยในประเทศเพื่อนบ้าน
ผลการขุดค้นทางโบราณคดีจำนวน 3 หลุม พบการอยู่อาศัยของชุมชนแห่งนี้ 2 สมัยคือ สมัยหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์ (ราวพุทธศตวรรษที่ 9-11) และสมัยทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ 12-16) โดยร่องรอยชุมชนสมัยหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์นั้น พบในพื้นที่นอกเมืองทางทิศใต้ (หลุมขุดค้นที่ 3) ดังจะเห็นได้จากภาชนะดินเผาตกแต่งด้วยการขัดมันเป็นริ้วเส้นด้านในของภาชนะ ส่วนพื้นที่ภายในเมืองโบราณพบเพียงชั้นวัฒนธรรมเดียวคือวัฒนธรรมสมัยทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ 12-16) ดังปรากฏหลักฐานในหลุมขุดค้น 2 หลุม ทางทิศใต้ของเมือง (หลุมขุดค้นที่ 1 และ 2) เนื่องจากพบโบราณวัตถุในวัฒนธรรมทวารวดี เช่น เบี้ยดินเผา ภาชนะประเภทกุณฑี หม้อมีสัน เป็นต้น
การศึกษาพัฒนาการทางวัฒนธรรมของเมืองโบราณดอนคา นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่าเมืองโบราณดอนคาแห่งนี้มีความสัมพันธ์กับเมืองโบราณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก และลุ่มน้ำมูลตอนล่างตั้งแต่สมัยหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์ จนถึงสมัยทวารวดี
แม้ว่าการขุดค้นทางโบราณคดีในครั้งนี้ จะยังไม่พบหลักฐานที่สื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมเขมรที่แพร่เข้ามาในเมืองแห่งนี้อย่างเด่นชัดก็ตาม แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีที่ผ่านมา พบว่าอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรสมัยเมืองพระนครได้แพร่เข้ามาในที่ราบสูงโคราชและลุ่มน้ำลพบุรี – ป่าสัก ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 15-18 อีกทั้งได้พบพระพุทธรูปนาคปรก ศิลปะเขมรแบบบาปวนและแบบบายน บนเขาตีคลี ซึ่งเป็นศาสนาสถานที่สร้างในวัฒนธรรมทวารวดี ดังนั้นควรต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป
ภาชนะดินเผา เบี้ยดินเผา ภาชนะประเภทกุณฑี หม้อมีสัน
การขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองโบราณดอนคา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการทางวัฒนธรรมของเมืองดอนคาและศึกษาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างเมืองโบราณดอนคากับชุมชนโบราณร่วมสมัยในประเทศเพื่อนบ้าน
ผลการขุดค้นทางโบราณคดีจำนวน 3 หลุม พบการอยู่อาศัยของชุมชนแห่งนี้ 2 สมัยคือ สมัยหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์ (ราวพุทธศตวรรษที่ 9-11) และสมัยทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ 12-16) โดยร่องรอยชุมชนสมัยหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์นั้น พบในพื้นที่นอกเมืองทางทิศใต้ (หลุมขุดค้นที่ 3) ดังจะเห็นได้จากภาชนะดินเผาตกแต่งด้วยการขัดมันเป็นริ้วเส้นด้านในของภาชนะ ส่วนพื้นที่ภายในเมืองโบราณพบเพียงชั้นวัฒนธรรมเดียวคือวัฒนธรรมสมัยทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ 12-16) ดังปรากฏหลักฐานในหลุมขุดค้น 2 หลุม ทางทิศใต้ของเมือง (หลุมขุดค้นที่ 1 และ 2) เนื่องจากพบโบราณวัตถุในวัฒนธรรมทวารวดี เช่น เบี้ยดินเผา ภาชนะประเภทกุณฑี หม้อมีสัน เป็นต้น
การศึกษาพัฒนาการทางวัฒนธรรมของเมืองโบราณดอนคา นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่าเมืองโบราณดอนคาแห่งนี้มีความสัมพันธ์กับเมืองโบราณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก และลุ่มน้ำมูลตอนล่างตั้งแต่สมัยหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์ จนถึงสมัยทวารวดี
แม้ว่าการขุดค้นทางโบราณคดีในครั้งนี้ จะยังไม่พบหลักฐานที่สื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมเขมรที่แพร่เข้ามาในเมืองแห่งนี้อย่างเด่นชัดก็ตาม แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีที่ผ่านมา พบว่าอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรสมัยเมืองพระนครได้แพร่เข้ามาในที่ราบสูงโคราชและลุ่มน้ำลพบุรี – ป่าสัก ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 15-18 อีกทั้งได้พบพระพุทธรูปนาคปรก ศิลปะเขมรแบบบาปวนและแบบบายน บนเขาตีคลี ซึ่งเป็นศาสนาสถานที่สร้างในวัฒนธรรมทวารวดี ดังนั้นควรต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป
ภาชนะดินเผา เบี้ยดินเผา ภาชนะประเภทกุณฑี หม้อมีสัน