นายเพิ่มสุข กล่าวว่า หนังสือ สุวรรณภูมิ : แผ่นดินทอง นับเป็นหลักฐานและการรวบรวมคุณค่าสำคัญซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของภูมิปัญญาสุวรรณภูมิในเชิงประจักษ์ ทั้งจากหลักฐานต่าง ๆ ที่พบและที่ยังสืบสานต่อมาถึงปัจจุบันในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการแสดงถึงมรดกวัฒนธรรมที่ผสมผสานองค์ความรู้ระหว่าง “ศาสตร์และศิลป์” ที่สามารถนําไปสู่การพัฒนาต่อยอด ก่อให้เกิดความยั่งยืนของพื้นที่ ทั้งทางกายภาพ และทางจิตวิญญาณ สามารถสร้างและยกระดับคุณภาพชีวิตของคน สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และสามารถมาพัฒนาต่อยอดเพื่อนําภูมิปัญญาดังกล่าวให้เป็นที่รับรู้ระดับโลก และเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและภูมิภาค
นายเพิ่มสุข กล่าวต่อว่า กระทรวง อว. ให้ความสนใจและความสำคัญกับการค้นคว้าเรื่องราวของดินแดนสุวรรณภูมิอย่างจริงจัง เพราะดินแดนสุวรรณภูมิมีความเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มาอย่างช้านาน พื้นที่ของสุวรรณภูมิเคยเป็นสะพานเชื่อมโลก ทั้งเรื่องของการค้า การบริการ การแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ ศิลปะและวัฒนธรรมต่าง ๆ และเป็นยุคที่เกิดนวัตกรรมด้านต่าง ๆ ขึ้นมาตลอดเวลา มีหลายหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้คนในดินแดนแถบนี้มีความเชี่ยวชาญในสายเลือดทั้งด้านสถาปัตยกรรม หัตถกรรม และสุนทรียศาสตร์ มาเป็นเวลานาน ไม่เพียงแต่มีความเด่นเฉพาะด้านการเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียวดังที่เคยเข้าใจกันมา และความยิ่งใหญ่เหล่านี้จะเป็นพื้นฐานชั้นดีในการค้นคว้าศึกษาเพื่อนำอดีตที่มีคุณค่ามาพัฒนาประเทศได้ในอนาคต โดยมี “ธัชชา” เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาบุคลากรทางด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ของประเทศ ไปสู่การสร้างคุณค่าและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของชาติ
“เรื่องของ “อารยธรรมสุวรรณภูมิ” กำลังเป็นที่รู้จักของคนในระดับนานาชาติผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งในรูปแบบของผลงานศึกษาวิจัย หนังสือ และสื่อในยุคดิจิทัล ในรูปแบบของแพลตฟอร์มและคลังข้อมูลออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก เรามีผลงานมากมายที่ล้วนแต่เป็นการช่วยยกระดับมาตรฐานขีดความสามารถของนักวิชาการ และเพิ่มความมุ่งมั่นที่จะศึกษาเรื่องราวในอดีตจนกลายมาเป็นผลงานวิจัยที่ทรงคุณค่า รวมทั้งสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในประเทศผ่านการเข้ามาท่องเที่ยวของผู้คนจากนานาประเทศ ซึ่งต่อไปสถาบันการศึกษาอาจจะต้องตื่นตัวในเรื่องของศาสตร์ด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีมากขึ้น และเราจะต้องมีการยกระดับการทำงานในระดับนานาชาติ และนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยมากขึ้น เพื่อยกระดับเรื่องของสุวรรณภูมิศึกษาขึ้นสู่ระดับโลกให้ได้” ปลัด อว. กล่าว
สำหรับหนังสือ “สุวรรณภูมิ แผ่นดินทอง” เรียบเรียงขึ้นจากหนังสือ “สุวรรณภูมิ ภูมิอารยธรรม เชื่อมโยงโลก (Suvarnabhumi Terra Incognita)” ภายใต้โครงการภูมิอารยธรรมสุวรรณภูมิด้วยเทคโนโลยี อวกาศและภูมิสารสนเทศ โดย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า ร่วมกับ มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ซึ่งได้ข้อสรุปที่ประมวลจากผลงานการศึกษาของนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีชั้นนําของไทยและโลก ล้วนสรุปตรงกันว่าสุวรรณภูมิไม่ได้เป็นเพียงดินแดนในจินตนาการที่เลื่อนลอย แต่มีความเป็นไปได้มากที่มีอยู่จริง ซึ่งตั้งอยู่ ณ อาณาบริเวณระหว่างอินเดียกับจีนที่ทุกวันนี้เรียกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์โบราณคดี หลักฐานส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่า สุวรรณภูมิดำรงอยู่ในช่วงสมัยพุทธศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา จนในระยะหลังเริ่มพบหลักฐานที่สอดคล้องกับที่ปรากฏในบันทึกสมัยโบราณต่าง ๆ โดยเฉพาะการพบหลักฐานใหม่ ๆ ที่มีค่าอายุสมัยใกล้เคียงสอดคล้องกัน คือ สุวรรณภูมิดำรงอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 1 – 7 อีกทั้งยังมีความเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาที่มีบทบาทมากต่อสุวรรณภูมิอีกด้วย
นอกจากนี้ องค์ความรู้ว่าด้วย “สุวรรณภูมิ” ยังมีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ของรัฐต่าง ๆ ในภูมิภาค ความสัมพันธ์ทางการเมืองและปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคนี้กับภูมิภาคอื่น ๆ ในโลก การเผยแพร่และส่งเสริมองค์ความรู้จึงมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในมิติต่าง ๆ อาทิ ความสัมพันธ์ ความเข้าใจระหว่างประเทศในระดับประชาชน การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนความรู้ การส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน
ดังนั้น การแปลเนื้อหาและจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่หนังสือสุวรรณภูมิเป็นภาษาประเทศ 8 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส พม่า มลายู เขมร และเวียดนาม จะช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาค และนำไปสู่การศึกษาค้นคว้าด้านการก่อตั้งรัฐ พัฒนาการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในภูมิภาคนี้และภูมิภาคที่ห่างไกลออกไป และมีผลต่อการเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างประชาชนของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในมิติประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรม